ทีมปราสาทสายฟ้าเข้าชิงบอลถ้วยในประเทศครั้งที่ 3 สมหวังจนได้ชนะเรือใบสีฟ้าคว้าเเชมป์สมัยเเรก
คริสตัล พาเลซ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับสโมสร ด้วยการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ประจำฤดูกาลนี้ หลังจากเฉือนเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปด้วยสกอร์ 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศที่สนามเวมบลีย์ เมื่อคืนที่ผ่านมา นับเป็นการคว้าแชมป์รายการใหญ่ครั้งแรกของสโมสร และเป็นความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจหลังจากการเข้าชิงถ้วยใบนี้มาแล้วถึง 3 ครั้ง
เกมการแข่งขันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น โดย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จัดทัพเต็มอัตราศึก นำโดย เควิน เดอ บรอยน์, โอมาร์ มาร์มูช และ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ขณะที่ คริสตัล พาเลซ วาง เอเบเรชี่ เอเซ่ และ ฌ็อง-ฟิลิปเป้ มาเตต้า เป็นตัวทีเด็ด
ถึงแม้ว่า “เรือใบสีฟ้า” จะเป็นฝ่ายครองเกมและบุกกดดันอย่างต่อเนื่อง แต่กลับเป็น “ปราสาทสายฟ้า” ที่ได้ประตูออกนำก่อนในนาทีที่ 15 จากจังหวะที่ ดาเนี่ยล มูนญอซ เติมเกมรุกทางขวาก่อนจะเปิดบอลเข้ากลาง และเป็น เอเบเรชี่ เอเซ่ ที่เข้าชาร์จจ่อๆ ส่งบอลสู่ก้นตาข่าย
ในนาทีที่ 33 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้โอกาสทองในการตีเสมอเมื่อได้ลูกจุดโทษจากจังหวะที่ ไทริค มิตเชลล์ ทำฟาวล์ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ในเขตโทษ อย่างไรก็ตาม โอมาร์ มาร์มูช ที่รับหน้าที่สังหารแทน เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ กลับยิงไปติดเซฟของผู้รักษาประตูดีน เฮนเดอร์สัน อย่างน่าเสียดาย ทำให้จบครึ่งแรก คริสตัล พาเลซ ยังคงนำอยู่ 1-0
ในครึ่งหลัง รูปเกมยังคงเป็นไปในลักษณะเดิม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พยายามอย่างหนักเพื่อทวงประตูคืน แต่แนวรับของคริสตัล พาเลซ ยังคงแข็งแกร่ง และดีน เฮนเดอร์สัน ก็โชว์ฟอร์มเซฟได้อย่างยอดเยี่ยม ช่วงท้ายเกม ดาเนี่ยล มูนญอซ เกือบทำประตูที่สองให้กับทีม แต่ถูก VAR จับล้ำหน้าไปก่อน
สุดท้ายแล้ว ไม่มีประตูเพิ่มเติมเกิดขึ้น ทำให้จบเกม คริสตัล พาเลซ เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 1-0 คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสร สร้างความยินดีให้กับแฟนบอล “ปราสาทสายฟ้า” ทั่วโลก
